SEO คืออะไร?
คู่มือการเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลค้นหาบนหน้า Google ปี 2022
คนที่ตั้งใจทำการตลาดบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะการทำเว็บไซต์ ก็คงจะต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินว่าการทำSEO คืออะไรกันมาบ้างไม่มากก็น้อย เพราะการทำ SEO นั้นมีผลอย่างมากต่อการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ แต่ถ้าใครรู้สึกว่ายังไม่รู้จักการทำ SEO อย่างลึกซึ้งมากพอ วันนี้เรามีคำตอบให้คุณว่า SEO คืออะไร พร้อมรายละเอียด และเทคนิคการทำ SEO อัพเดตของปี 2022 แบบจุใจมาให้ศึกษากัน
SEO คือ อะไร ? มีความสำคัญอย่างไร
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization ซึ่งการทำ SEO คือหนึ่งในวิธีการสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเรามีผู้เข้าชมมากขึ้น และทำให้อันดับของเว็บไซต์ติดหน้าแรกบนเว็บเสิร์ชเอนจิน อย่างเช่น Google, Bing และเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งวิธีนี้ต้องอาศัยการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ให้เข้ากับหลักการทำ SEO
เครื่องมือค้นหา (Search Engine) ทำงานอย่างไร
เครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่างเช่น Google มักมีการทำงานที่ซับซ้อน โดยมันมักจะใช้เงื่อนไขหลายข้อในการจัดอันดับคอนเทนต์ ว่าคอนเทนต์ไหนเป็นคอนเทนต์ที่ดี และควรให้ขึ้นอยู่อันดับแรก ๆ บนหน้าเครื่องมือค้นหา
สรุปสั้น ๆ คือเครื่องมือค้นหาได้รวบรวมคอนเทนต์บนอินเตอร์เน็ตเอาไว้ และทำการจัดเรียงเป็นลำดับบนหน้าเว็บ โดยมีจุดประสงค์ที่จะทำให้ผู้ที่เข้ามาหาข้อมูลพึงพอใจในผลลัพธ์ที่ได้เจอมากที่สุด โดยผู้ที่หาข้อมูลจะใช้ Keyword หรือคำค้นหากรอกลงไปบนหน้าเว็บเครื่องมือค้นหา ดังนั้นเว็บเหล่านี้จึงจัดอันดับคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่มีผู้มาค้นหาเอาไว้บนหน้าเดียวกันนั่นเอง
Google ทำงานอย่างไร ?
เป้าหมายของการทำ SEO คือการทำให้อันดับของเว็บไซต์ของเราบนหน้า Google อยู่ในอันดับที่ดีที่สุด จึงต้องรู้ก่อนว่า Google มีการทำงานดังนี้
1. เก็บรวบรวมข้อมูล (Crawing) Google จะให้บอทไปหาหน้าเว็บไซต์ที่อัปเดตใหม่ โดยหน้าเว็บไซต์ที่มี Link ทางเข้าจำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้บอทเข้ามาถึงหน้าเว็บได้เร็วขึ้น
2.จัดหมวด (Indexing) จากนั้น Google จะวิเคราะห์ URLs ที่บอทได้ไปเจอ และทำความเข้าใจเนื้อหาและองค์ประกอบบนหน้านั้น Google จะดูทั้งตัวคอนเทนต์ รูปภาพ และสื่อต่าง ๆ บนหน้าเว็บ แล้วเก็บข้อมูลเอาไว้ใน Database
3.แสดงผล (Serving) เมื่อเก็บข้อมูลแล้ว Google จะประเมินว่าหน้าเว็บไหนที่มีความเกี่ยวข้อง และมีประโยชน์กับสิ่งที่มีผู้ค้นหามากที่สุด
เข้าใจอัลกอริธึมของ Google
อัลกอริธึมของ Google คือ กระบวนการของ Google ในการจัดอันดับเนื้อหา ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง ไม่นานมานี้ Google ได้เผยว่าอัลกอริธึมของพวกเขาจัดอันดับอย่างไร โดยมีข้อสรุปดังนี้
-
ตรงตามเจตนา: ดูว่าคอนเทนต์สามารถตอบคำถามของผู้ค้นหาได้หรือไม่ หรือแสดงสิ่งที่พวกเขาต้องการเห็นหรือไม่ มีปัจจัยหลายอย่างเช่น ภาษา ความสดใหม่ และคำที่มีความหมายเหมือนกัน ก็มีผลเช่นกัน
-
ความเกี่ยวข้อง: จะมีการตรวจดูว่าหน้าเว็บไซต์ของคุณมีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกับคำที่ใช้ค้นหามากน้อยแค่ไหน ซึ่งการทำ SEO จะตอบโจทย์ในเรื่องนี้ ซึ่งการให้ข้อมูลที่ผู้ค้นหาต้องการได้ชัดเจนที่สุดจะมีผลต่อการจัดอันดับบนหน้า Google
-
คุณภาพ: นอกจากมีความเกี่ยวข้องมากแล้ว คอนเทนต์ของคุณต้องมีคุณภาพดีด้วย โดยการวัดคุณภาพก็มีหลายปัจจัย แต่สามารถสรุปได้เป็นหลักการ E-A-T ซึ่งเป็นหลักการ SEO คือ Expertise (ความเชี่ยวชาญ) Authoritativeness (ความมีอิทธิพล) และ Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)
บทลงโทษของ Google
บทลงโทษของ Google คือ ผลเชิงลบที่กระทบกับอันดับของหน้าเว็บไซต์ของเรา ซึ่งบทลงโทษเหล่านี้เป็นการจัดการตามระบบของ Google เมื่อพบการใช้ลูกเล่นที่ไม่เหมาะสมในการทำ SEO เช่น การซื้อ Backlink หรือการใช้ลิงก์มากเกินกว่าปกติ ดังนั้นเราจึงอยากแนะนำให้คุณใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาในการทำ SEO เพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษที่จะทำให้คุณต้องถูกลดอันดับบนหน้า Google
ทำไม SEO ถึงมีความสำคัญ?
SEO นั้นสำคัญมาก เพราะมันสามารถเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ธุรกิจของคุณให้สูงขึ้นได้ การซื้อโฆษณาและโซเชียลมีเดียก็มีผลดี แต่การทำ SEO จะช่วยส่งผลดีในระยะยาว เพราะทำให้คนเข้ามาเจอเว็บไซต์ธุรกิจของเราได้โดยที่เราไม่ต้องเสียค่าโฆษณา โดยสรุปเหตุผลที่ควรทำ SEO ได้ดังนี้
- พากลุ่มเป้าหมายมาถึงเว็บไซต์ของคุณ
- ทำช่วยให้ขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น
SEO ทำงานอย่างไร ?
เมื่อบอทของ Google เข้ามาเก็บข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์ และนำไปเก็บเป็นข้อมูลในแหล่งเก็บข้อมูล อัลกอริธึมของของ Google ก็จะประเมินจากปัจจัยการจัดอันดับหลายร้อยข้อ ว่าหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ จะปรากฎอยู่ตำแหน่งใดบนหน้า Google
โดยปกติแล้วหน้าแสดงผลของ Google จะแสดงหน้าเว็บที่จ่ายเงินเอาไว้บนสุด จากนั้นก็แสดงหน้าเว็บที่ไม่ได้จ่ายเงินเรียงลงมาข้างล่าง ตามคุณภาพของหน้าเว็บไซต์
On-Page SEO
On Page SEO คือ วิธีเพิ่มประสิทธิภาพคอนเทนต์บนหน้าเว็บ ซึ่งคุณสามารถควบคุมปัจจัยเหล่านี้ได้ เช่น คุณสามารถใส่แท็ก ในคำอธิบาย Meta ของหน้าเว็บไซต์ได้เอง และลงคอนเทนต์บนหน้าเว็บได้เอง ตัวอย่างอื่น ๆ ที่เป็น On-Page SEO มีดังนี้
-
Keyword คำค้นหา: ตอนเริ่มต้นทำคอนเทนต์ คุณจะต้องหา Keyword ที่จะใช้ให้ได้ก่อน โดยการใช้เครื่องมือหา Keyword เช่น Keyword Magic Tool เมื่อเข้าไปคุณจะเจอข้อมูลการใช้ Keyword ต่างๆในการค้นหา และบอกความยากในการทำให้ติดอันดับด้วย Keyword นั้นๆ
-
การสร้างคอนเทนต์: เมื่อเลือก Keyword หลักและรองได้แล้ว การสร้างคอนเทนต์ต้องนึกถึงการตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก และตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ค้นหา Keyword ที่เลือกต้องการข้อมูลมากที่สุด
-
ความเร็วของหน้าเว็บ: ถ้าการแสดงผลของหน้าเว็บไม่ไวมากพอ ผู้ใช้งานก็อาจจะไม่รอและออกจากหน้าเว็บไปเสียก่อน
-
การใช้ลิงก์ภายใน: Google เข้าถึงหน้าเว็บไซต์ด้วยลิงก์ ดังนั้นการใช้ลิงก์จึงสำคัญมากกับการทำ SEO
หัวเรื่อง (Heading)
หัวเรื่องเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานได้เห็นก่อนสิ่งอื่นเมื่อเข้ามาถึงหน้าเว็บของเรา มันจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ Google การเขียนหัวเรื่องจึงสำคัญ มันจะต้องสื่อสารได้ชัดเจน และมี Keyword ที่กลุ่มเป้าหมายจะค้นหาอยู่ในนั้น
สไตล์การเขียนบทความ SEO
หลักการในการเขียนบทความ SEO คือสื่อสารเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และตรงประเด็น ไม่จำเป็นต้องใช้ประโยคยืดยาว ควรสื่อสารให้กระชับ มีวรรคตอนที่เหมาะสม และควรมีการแตกย่อยหัวข้อออกมา เพื่อให้อ่านและจับประเด็นได้ง่าย ที่สำคัญจัดระเบียบเนื้อหาให้มีความง่ายในการหาข้อมูล และการทำความเข้าใจ สำหรับคนทั่วไป
Rich Content
Rich Content คือ การใช้สื่อมีเดียต่าง ๆ ในบทความ เช่น เสียง รูปภาพ วิดีโอ ซึ่งควรมีแทรกบ้างเป็นบางช่วง แต่จำไว่ว่า Google ไม่สามารถเข้าใจรายละเอียดของภาพหรือวิดีโอได้
ดังนั้น เมื่อคุณใช้สื่อเหล่านี้ อย่าลืมใส่ Mata tag ที่ดีกำกับไปด้วยเสมอ เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจว่าสื่อเหล่านั้นเกี่ยวกับอะไร หรือในบางครั้งอาจเขียนข้อความจากภาพหรือวิดีโอเหล่านั้นลงไปในบทความด้วยก็ได้
ลิงก์ขาออก (External Link)
ลิงก์ขาออก หรือลิงก์ที่เชื่อมกับหน้าเว็บไซต์ภายนอก เป็นลิงก์ที่นำไปสู่แหล่งข้อมูลเพื่อยืนยันความถูกต้องของคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์ของเรา และช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ รวมไปถึงผู้เขียนคอนเทนต์นั้น
ความน่าเชื่อถือของคอนเทนต์
ควรระบุชื่อผู้เขียนคอนเทนต์อย่างชัดเจนในตำแหน่งที่เหมาะสม ถ้าชื่อเสียงของผู้เขียนมีความน่าเชื่อถือ จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคอนเทนต์นั้น ๆ ได้
ประเภทของเนื้อหา
แต่ละลำดับของ Funnel ต่างก็มีเนื้อหาคอนเทนต์ที่เหมาะสมแตกต่างกัน การวางแผนคอนเทนต์ที่ดีจะต้องมีการผสมผสานคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น
- เนื้อหาเป็นข้อ ๆ: ทั้งนักอ่านและ Google ชอบเนื้อหาแบบเรียงเป็นลิสต์ เพราะอ่านง่ายและเข้าถึงได้ง่าย
- แนวทางความรู้แบบฮาวทู: คอนเทนต์ที่บอกฮาวทูบแบบเป็นขั้นตอน เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เสิร์ชคำถามแบบยาวลงในโปรแกรมค้นหา
- เนื้อหาแบบยาว: เนื้อหาแบบนี้อาจไม่ง่ายที่จะทำออกมา แต่มันจะช่วยให้นักอ่านเข้าใจประเด็นในเนื้อหาที่ลึกลงไปได
- ตาราง: ข้อมูลเป็นตารางจะช่วยให้กูเกิ้ลเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นอีกทั้งยังช่วยให้นักอ่านเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นเช่นเดียวกัน
- ภาพกราฟิก: ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายหรือภาพวาดกราฟิก ก็สามารถดึงคนผ่านการค้นหารูปภาพในกูเกิ้ลได้ด้วย
- อินโฟกราฟิก: อินโฟกราฟิกคือรูปภาพที่มีข้อมูลอยู่ในนั้น เป็นเนื้อหาแบบเดี่ยวๆที่ดูแล้วเข้าใจง่าย เข้าใจได้ทันที คอนเทนต์แนวนี้เหมาะกับการเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อให้เข้าถึงคนได้มากขึ้น
- วิดิโอ: กูเกิ้ลมีระบบค้นหาวิดีโอ การมีวิดีโอจะช่วยให้กูเกิ้ลหาเจอได้ง่ายขึ้น
- พ็อดแคสต์: พ็อดแคสต์เป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งทำงานแบบเดียวกับรูปภาพและวิดีโอคือทำให้กูเกิ้ลหาเจอได้ง่ายยิ่งขึ้น
- สัมมนาออนไลน์: สัมมนาออนไลน์คือการจัดการสัมมนาแบบสดขึ้นบนโลกออนไลน์ ซึ่งไม่ใช่แค่สามารถดึงคนให้มาสนใจได้เท่านั้น แต่ยังเป็นคอนเทนต์ระยะยาวที่ดีบนเว็บไซต์อีกด้วย
- อีบุ๊ค: อีบุ๊คเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับเนื้อหาประเภทที่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งและยาวเกินกว่าที่จะเล่าเป็นบทความได้
3 เคล็ดลับในการสร้างเนื้อหา SEO ที่ดีขึ้น
- เริ่มต้นจากการรีเสิร์ชคู่แข่ง คู่แข่งของคุณมีอะไรอะไรโดดเด่น เขาพูดถึงอะไรบนเว็บไซต์ คียเวิร์ดที่พวกเขาเลือกใช้ เพื่อหาช่องว่างที่เราสามารถเข้าไปแข่งขันได้
- ความยาวไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง อย่าลืมว่าปัจจุบันนักอ่านใช้เวลาน้อยลงเรื่อย ๆ กับการอ่านคอนเทนต์สักคอนเทนต
- ตอนเขียนท่องเอาไว้ว่าต้องเข้าถึงง่าย หรือจะใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยก็ได้
SEO เชิงเทคนิค
Technical SEO หรือ SEO เชิงเทคนิค คือ เรื่องที่ว่าด้วยคุณภาพของโครงสร้างภายในเว็บไซต์ที่ใช้งานได้ง่าย การมี SEO เชิงเทคนิคที่ดี จะช่วยให้กูเกิ้ลสามารถหาคอนเทนต์ของคุณได้ถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น
สิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในการทำ SEO คืออะไร
- ความเร็วของหน้าเว็บ : การดาวน์โหลดหน้าเว็บทุกหน้าต้องเร็ว เพราะ Google จะจัดอันดับหน้าเว็บที่โหลดได้เร็วกว่าในอันดับที่ดีกว่า
- Mobile-friendly : หน้าเว็บจะต้องใช้งานได้ง่าย และเหมาะกับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ Google จะจัดอันดับตามการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือด้ว
- UI สวยงาม ใช้ง่าย : ความสวยงาม มองสบายตา อ่านง่าย ใช้งานง่าย ของหน้าเว็บไซต์ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ Google นำไปพิจารณาเช่นกัน
- Schema markup : เป็นการใช้โค้ดหรือชุดคำสั่งที่เป็นภาษาดั้งเดิมของ Google มันจึงสามารถทำให้ Google เข้าใจคอนเทนต์ของคุณได้ดีมากยิ่งขึ้น ว่ามันมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
Off-Page SEO
Off Page SEO คือ การใช้ปัจจัยภายนอกอื่น ๆ มาช่วยให้เครื่องมือค้นหาประเมินว่าหน้าเว็บของคุณมีความเกี่ยวข้องกับ Keyword และมีความน่าเชื่อถือ โดย Off Page SEO จะประกอบไปด้วย การใช้โซเชียลมีเดีย การใช้อินฟลูเอนเซอร์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้ลิงก์ Backlink เชื่อมหน้าเว็บอื่น ๆ มาที่หน้าเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะทำให้หน้าเว็บของคุณมีการเข้าถึงมากขึ้น และเพิ่มความมีอิทธิพลด้วย แต่จำนวน Backlink จำนวนมาก ๆ ก็ไม่ได้ดีเสมอไป เพราะอาจถูกจับได้ว่าเป็นลิงก์ปลอม ดังนั้นควรเลี่ยงการซื้อลิงก์มาใช้
โครงสร้างเว็บไซต์
โครงสร้างเว็บไซต์คือรูปแบบการจัดการ เรียงลำดับและจัดกลุ่มหน้าเว็บไซต์ โครงสร้างของเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ อีกทั้งยังทำให้ผู้ใช้งานใช้เวลาอยู่บนหน้าเว็บนานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
Core Web Vitals: สิ่งที่คุณต้องรู้
Core web vitals เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google ใช้ในการพิจารณาจัดอันดับเว็บไซต์ โดยวัดจากประสบการณ์ของผู้ใช้งานหน้าเว็บไซต์ โดยมีหลักที่สำคัญ 3 ข้อดังนี้:
- Largest contentful paint (LCP) เกี่ยวกับความเร็วในการดาวน์โหลดคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์
- First input delay (FID) เกี่ยวกับความเร็วในการตอบสนองเมื่อคลิกปุ่มต่าง ๆ บนหน้าเว็บ
- Cumulative layout shift (CLS) เกี่ยวกับการจัดระเบียบ Layout ของหน้าเว็บ
Google ได้ประกาศว่า Core web vitals จะส่งผลกับอันดับของเว็บไซต์ ดังนั้นเราจึงควรปรับปรุงเว็บไซต์ตามเงื่อนไขของ Core web vitals ตามวิธีเหล่านี้
วิธีปรับปรุง Core Web Vital Scores ของคุณ
ขั้นตอนการปรับปรุง core web vitals ก็ขึ้นอยู่กับสภาพปัจุบันของเว็บไซต์ของคุณ จึงต้องมีการตรวจสอบก่อนว่าคะแนน core web vitals ของเว็ปของคุณเป็นอย่างไร ตามขั้นตอนนี้:
ขั้นแรกคลิกเข้าไปที่ Google Search Console แล้วเลือก Core Web Vitals จากนั้นลองดูกราฟที่ปรากฎขึ้นมา
คุณควรได้ 0 ในหัวข้อ Poor URLs เพราะคะแนนในหัวข้อนี้อาจทำให้คุณโดนลดอันดับได้
แล้วคุณก็ลองดูคะแนนในส่วนต่าง ๆ ว่าควรต้องปรับปรุงหน้าเว็บในส่วนไหนบ้าง เช่น ถ้าคะแนน CLS น้อย คุณก็ควรต้องพัฒนาความเร็วในการดาวน์โหลดหน้า เช่น ใช้ไฟล์ต่าง ๆ บนหน้าเว็บที่มีขนาดเล็กลง
การจัดอันดับ Google Passage
ในปี 2020 Google ได้ประกาศใช้งานเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในการจัดลำดับข้อมูล ที่มีชื่อเรียกว่า “Passage” โดยมันจะทำให้ Google สามารถจัดอันดับบางส่วนของบทความในหน้าเว็บไซต์ได้ โดยฟีเจอร์นี้จะมีผลถีง 7% ของการค้นหา ซึ่งถือว่าเป็นเปอร์เซ็นที่สูงมาก
ลองมาดูกันว่าจะปรับปรุงหน้าเว็บของคุณให้ตรงตามเงื่อนไขของ Passage อย่างไร
วิธีการทำงานของ Google Passage
“Passage” ทำให้ Google สามารถจัดอันดับบางส่วนของบทความในหน้าเว็บไซต์ได้ และ หัวข้อเหล่านี้เป็นฟีเจอร์ของ Passage ที่ Google ประกาศออกมา: แทนที่จะประเมินทั้งหน้าเว็บในการจัดลำดับ ตอนนี้ Google สามารถเลือกโชว์บางส่วนของเว็บที่ตรงกับสิ่งที่ค้นหาได้
แต่ก็ไม่ได้แปลว่า Google จะเลิกประเมินหน้าเว็บทั้งหน้า ดังนั้น การทำ backlink, on-page SEO และปัจจัยอื่น ๆ ในการทำ SEO ก็ยังคงจำเป็นอยู่ แต่สิ่งต้องสนใจมากขึ้นคือ การปรับหน้าเว็บให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น
จัดระเบียบเนื้อหาของคุณเป็นส่วนๆ
การที่ Google จัดอันดับคอนเทนต์แบบแยกส่วน แปลว่า ยิ่งถ้าคุณจัดระเบียบแต่ละส่วนของหน้าเว็บไซต์ได้ดี จะช่วยให้ Google นำคอนเทนต์ไปจัดลำดับได้ง่ายขึ้นด้วย ดังนั้นคุณควรจัดและแบ่งแต่ละส่วนของคอนเทนต์บนหน้าเว็บให้ชัดเจน โดยแต่ละส่วนก็ควรมีหัวข้อที่ชัดเจน และแบ่งส่วนย่อยให้ชัดเจนและเป็นระเบียบ
การจัดหัวข้อย่อย H2 H3 ออกมาให้เป็นระเบียบ Google อาจจะหยิบเนื้อหาในหัวข้อ H3 ของคุณไปจัดลำดับได้
เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับตัวอย่างข้อมูลแนะนำ
Featured Snippets หรือตัวอย่างข้อมูลแนะนำ คือ ผลที่ปรากฎขึ้นข้างบนสุดของหน้า Google โดยส่วนนี้จะมีการแสดงเนื้อหาสำคัญบางส่วนบนหน้า Google ที่ผู้ค้นหาจะเห็นตั้งแต่ยังไม่กดเข้าไปในเว็บไซต์
และนี่คือขั้นตอนในการทำให้คอนเทนต์ของเรามีโอกาสขึ้นตัวอย่างข้อมูลแนะนำ
1.หาโอกาสในการทำให้คอนเทนต์อยู่บนตัวอย่างข้อมูลแนะนำ
ขั้นตอนแรก ๆ ในการทำ SEO คือการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ควรใช้คีย์เวิร์ดที่คุณทำให้ติดอันดับเอาไว้อยู่แล้ว และ คีย์เวิร์ดที่สามารถขึ้นตัวอย่างข้อมูลแนะนำ
ทำไมต้องใช้คีย์เวิร์ดที่คุณทำให้ติดอันดับเอาไว้อยู่แล้ว? นั่นเป็นเพราะว่า 99.58% ของตัวอย่างข้อมูลแนะนำ มาจากหน้าเว็บที่ติดลำดับต้น ๆ ของหน้า Google อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าหน้าเว็บของคุณไม่ติด 10 อันดับแรก ก็ไม่มีโอกาสที่จะขึ้นไปอยู่ที่ตำแหน่งตัวอย่างข้อมูลแนะนำได้
2. เขียนเนื้อหาที่เหมาะสมกับตำแหน่งตัวอย่างข้อมูลแนะนำ
เนื้อหาที่เหมาะสมกับตัวอย่างข้อมูลแนะนำจะมีความยาว 40-60 คำ ซึ่งจำนวนนี้มาจากการเก็บข้อมูลจาก ตัวอย่างข้อมูลแนะนำ เกือบ 7 ล้านชุด พบว่าส่วนมากมีจำนวนคำอยู่ที่ 40-60 คำ บางเว็บไซต์ถึงขั้นใส่กรอบสี่เหลี่ยมรอบเนื้อหา ให้พอดีกับตำแหน่งตัวอย่างข้อมูลแนะนำ เหมือนเชิญให้เอาไปวางได้เลย
3. ทำเนื้อหาคอนเทนต์ให้อยู่ในฟอร์มต่าง ๆ ที่เหมาะกับตำแหน่งตัวอย่างข้อมูลแนะนำ
เนื้อหาที่เหมาะสมกับตัวอย่างข้อมูลแนะนำจะมีความยาว 40-60 คำ ซึ่งจำนวนนี้มาจากการเก็บข้อมูลจาก ตัวอย่างข้อมูลแนะนำ เกือบ 7 ล้านชุด พบว่าส่วนมากมีจำนวนคำอยู่ที่ 40-60 คำ บางเว็บไซต์ถึงขั้นใส่กรอบสี่เหลี่ยมรอบเนื้อหา ให้พอดีกับตำแหน่งตัวอย่างข้อมูลแนะนำ เหมือนเชิญให้เอาไปวางได้เลย
การค้นหาด้วยภาพ
ถ้าจะถามว่า การค้นหาด้วยภาพ จะเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลหลักในการทำ SEO เลยไหม?
คำตอบคือ ก็ยังไม่ขนาดนั้น แต่เมื่อวิเคราะห์จากเทรนด์แล้ว พบว่า การค้นหาด้วยภาพจะมีความสำคัญมากขึ้นในปี 2022 นี้อย่างแน่นอน และนี่คือสิ่งที่คุณจะต้องรู้
การค้นหาด้วยภาพกำลังเริ่มต้นขึ้น
ในขณะนี้มีผู้ใช้งานการค้นหาด้วยภาพมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ลองดูสถิติเหล่านี้
-
Google Lens มีผู้ใช้งานแล้วกว่า 1000 ล้านครั้ง (source)
-
มีการใช้การค้นหาด้วยภาพใน Pinterest กว่า 600 ล้านครั้ง ต่อเดือน (source)
-
36% ของผู้ใช้งานชาวอเมริกัน เคยใช้การค้นหาด้วยภาพแล้ว (source)
เทคโนโลยีการค้นหาด้วยภาพเป็นสิ่งที่ดีมาก
การค้นหาด้วยภาพยังคงเป็นเทคโนโลยีใหม่ แต่มันทำงานได้ดีมากจริง ๆ ถ้าไม่เชื่อ คุณอาจจะลองเปิดใช้ Google Lens ในมือถือของคุณ แล้วลองสแกนของรอบ ๆ ตัวดู คุณจะพบว่ามันสามารถระบุประเภทของแต่ละชิ้นได้แทบทั้งหมด ในตอนนี้ Google Lens สามารถระบุประเภทของวัตถุได้ 1 พันล้านชนิด และจำนวนก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาด้วยภาพ
จากการรีเสิร์ช พบว่าวิธีการที่จะทำให้รูปภาพของเราติดอันดับการค้นหาด้วยภาพมีปัจจัยอยู่หลายข้อ ได้แก่
- หน้าเว็บต้องเหมาะกับการใช้บนโทรศัพท์มือถือ (Mobile-Friendly)
9 ใน 10 ของผลการค้นหาด้วย Google Lens มาจากหน้าเว็บที่ผ่านมาตรฐานจาก Google’s mobile-friendly test นั่นเป็นเพราะว่าการใช้งานค้นหาด้วยภาพ 100% ถูกใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือทั้งหมด จึงเป็นเรื่องปกติที่ Google จะต้องใช้เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขในการพิจารณาอันดับ
- การทำ SEO รูปภาพแบบดั้งเดิมยังคงใช้งานได้ดี
เทคนิคในการทำ SEO รูปภาพเดิม ๆ ยัง เช่น การปรับชื่อไฟล์ และ alt text มีผลต่อการจัดลำดับของ Google Lens เช่นกัน และรูปจากหน้าเว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับอยู่ต้น ๆ ก็ดูเหมือนจะติดอันดับในผลการค้นหา Google Lens มากกว่า
- ผลการค้นหา Google Lens มักมาจากหน้าเว็บที่มีเนื้อหามากพอสมควร
เราพบว่า Google มักเลือกรูปที่ติดติดอันดับ Google Lens จากหน้าเว็บที่มีเนื้อหาเยอะ ๆ (มากกว่า 1000 คำ) โดย Google เองก็เคยระบุว่า การจัดอันดับสำหรับการค้นหาด้วยภาพ ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของบทความบนเว็บไซต์ด้วย
Domain Authority
Domain Authority เคยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างลิงก์เป็นหลัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไปทุกวันนี้ Google ประเมินเว็บไซต์ของเราด้วยหัวข้อเหล่านี้
Expertise (ความเชี่ยวชาญ) Authoritativeness (ความมีอิทธิพล) และ Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) รวมกันเป็นหลักการชื่อว่า E-A-T
ต่อไปนี้เราจึงอยากอธิบายเกี่ยวกับเทคนิคการทำ SEO ใหม่ ๆ ที่สำคัญให้ทุกคนได้รู้กัน
เทคนิคการทำ SEO ใหม่ ๆ อัพเดตล่าสุด
E-A-T
กูเกิ้ลใช้อักษรย่อ E-A-T ซึ่งย่อมาจาก Expertise (ความเชี่ยวชาญ) Authoritativeness (ความมีอิทธิพล) และ (ความน่าเชื่อถือ) ในการให้คะแนนโดยรวมของเว็บไซต์
มาดูกันดีกว่าว่าทั้งสามตัวนี้คืออะไรกันบ้าง
-
ความเชี่ยวชาญ: Google จะตรวจสอบว่าข้อมูลในคอนเทนต์มีความแม่นยำหรือไม่ และความเหมาะสมในการเขียนหัวข้อนี้บนหน้าเว็บนี้มากน้อยแค่ไหน
-
ความมีอิทธิพล: Google จะตรวจสอบว่านักเขียนคนนี้ได้รับการยอมรับในวงการหรือไม่? และแบรนด์นี้มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือไม่?
-
ความน่าเชื่อถือ: Google จะตรวจสอบว่าแบรนด์และนักเขียนมีชื่อเสียงในด้านบวกหรือไม่? คอนเทนต์นี้เชื่อถือได้หรือเปล่า?
YMYL
YMYL หรือ Your Money or Your Life คือคอนเซปต์หลักที่ Google ใช้พิจารณาคุณภาพ คอนเซปต์นี้ว่าด้วย การคำนึงว่าคอนเทนต์นี้ส่งผลใด ๆ กับชีวิต อนาคต ความสุข สุขภาพ ความมั่นคงทางการเงิน หรือความปลอดภัยของผู้อ่านหรือไม่
ถ้าเนื้อหาในเว็บไซต์ มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตหรือการเงินของนักอ่าน มักจะถูกประเมินให้เป็นเนื้อหาที่มีอิทธิพลและมีความน่าเชื่อถือ ยกตัวอย่างเช่น-
ข่าวและเหตุการณ์ปัจจุบัน
-
รัฐบาลและกฎหมาย
-
การเงิน
-
สุขภาพและความปลอดภัย
-
สุขภาพและการออกกำลังกาย
-
การศึกษา
-
การจ้างงาน
ลองใช้ทั้ง E-A-T และ YMYL ในการสร้างคอนเทนต์ในเว็บดู รับรองว่ามันจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณไต่อันดับขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
การสร้างลิงก์
การสร้างลิงก์คือการทำให้เว็บอื่น ๆ ลิงก์เข้ามาหาเว็บไซต์ของเราผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ ซึ่งนั่นคือหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดของ SEO แบ็คลิงก์คือส่วนสำคัญที่จะกำหนดอิทธิพลและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ยิ่งมีเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือถูกอ้างอิงถึงมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เว็บไซต์ดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น
ทำไมการสร้างลิงก์จึงสำคัญ
การสร้างแบ็คลิงก์เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มอันดับของเพจในหน้าผลการค้นหา เช่นเดียวกับการสร้างลิงก์ภายในเว็บไซต์ของตัวให้ลิงก์ไปหาเพจต่าง ๆ เนื่องด้วยสิ่งนี้จะช่วยให้กูเกิ้ลเข้าใจว่าเพจไหนมีความสำคัญอย่างไร
วิธีสร้างลิงก์
วิธีการที่ดีในการสร้างแบ็คลิงก์ในโปรไฟล์ คือ การสร้างคอนเทนต์ที่สามารถใส่ลิงก์เข้าไปได้โดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคีย์เวิร์ดที่ถูกต้อง หรือการใส่สิ่งที่ใส่ลิงก์ลงไปได้อย่างอินโฟกราฟิก ดูแล้วเหมือนจะง่าย แต่จริง ๆ แล้วค่อนข้างใช้เวลาเลยทีเดียว
เคล็ดลับ 5 ข้อในการสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดใจและสร้างรายได้จากลิงก์
-
สร้างเนื้อหาจากข้อมูล: สร้างคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาที่โดดเด่นและเป็นประโยชน์จากข้อมูลที่เป็นข้อมูลออริจินัล
-
ดึงอารมณ์ร่วม: คอนเทนต์ที่ดึงอารมณ์ของผู้อ่านออกมาได้มักจะได้ผลเสมอ
-
เป็นคนตลกเข้าไว้: ถ้าใช้คอนเทนต์ที่แทรกอารมณ์ขันอย่างถูกที่ถูกเวลาและถูกกลุ่มเป้าหมายจนทำให้ผู้อ่านขำได้แล้วล่ะก็ รับรองว่าได้รับความสนใจบนโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
-
โฟกัสที่การมีส่วนร่วม: สร้างคอนเทนต์ที่มีส่วนร่วมกับคนดังหรือผู้นำ ไม่ว่าจะเป็น ประโยคคำพูดหรือบทสัมภาษณ์ คอนเทนต์เหล่านี้มักมีอิทธิพลและทำให้แบรนด์มีภาพจำเสมอ
-
สร้างคอนเทนต์ระดับมาสเตอร์พีซสักชิ้น: การสร้างคอนเทนต์แบบนี้เป็นอะไรที่ท้าทาย แต่มันจะคุ้มค่าแน่นอนเมื่อทำสำเร็จ ถ้าเนื้อหาของคอนเทนต์ครอบคลุมประเด็นทั้งหมดอย่างแม่นยำและมีคุณค่าต่อผู้อ่าน ต้องได้รับการแชร์อย่างแน่นอน
Local SEO
SEO เฉพาะพื้นที่ คือ เทคนิคในการทำให้ธุรกิจถูกค้นหาเจอในพื้นที่นั้นๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนเสิร์ชหา “ขายรถมือสอง ใกล้ฉัน” บนหน้า Google ถ้าธุรกิจของเราใส่โลเคชั่นลงไปด้วย จะช่วยให้เมื่อค้นหาแล้วมาเจอเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น
โปรไฟล์ธุรกิจบน Google
โปรไฟล์ธุรกิจบนกูเกิ้ลหรือชื่อเดิมคือ Google my Business ช่วยให้แบรนด์ได้รับการมองเห็นมากขึ้นในหน้าแสดงผลการค้นหา ลูกค้าสามารถใช้ข้อมูลที่ใส่ลงไปในโปรไฟล์ธุรกิจในการติดต่อตรงมาหาคุณได้ อีกทั้งการมีโปรไฟล์ธุรกิจบน Google สามารถส่งเสริมการทำ SEO เฉพาะพื้นที่ได้อย่างดีเยี่ยม
อันดับของโปรไฟล์ธุรกิจบน Google ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ดังต่อไปนี้
-
ความเกี่ยวข้อง: ธุรกิจของคุณกับคำที่ลูกค้าค้นหา มีความเกี่ยวข้อง/ใกล้เคียงกันมากแค่ไหน
-
ระยะทาง: กูเกิ้ลจะคำนวนระยะทางของทุกผลลัพธ์การค้นหาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การค้นหาที่ดีที่สุด
-
ชื่อเสียง: ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักมากแค่ไหน ส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับว่าธุรกิจของคุณมีข้อมูลในสื่อออนไลน์มากน้อยแค่ไหน
3 เคล็ดลับในการปรับปรุง SEO ในพื้นที่ของคุณ
-
ใส่ข้อมูลธุรกิจของคุณให้มากที่สุด ยิ่งลูกค้าเข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำมากแค่ไหน ก็ยิ่งมีโอกาสซื้อซ้ำได้มากขึ้นเท่านั้น
-
เลือกหมวดหมู่ในโปรไฟล์ธุรกิจให้ถูกต้อง จะช่วยให้ลูกค้าหาเจอได้ง่ายขึ้น
-
ดูว่าคู่แข่งกำลังทำอะไรอยู่ แล้วเราจะทำอะไรให้ดีกว่านั้นได้บ้าง
โซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียก็เป็นเรื่องสำคัญในการทำ SEO เช่นกัน การใช้โซเชียลมีเดียอาจไม่ได้มีผลโดยตรงกับการจัดอันดับบนหน้า Google แต่สำคัญกับการทำ Off-Page SEO ที่ช่วยให้ธุรกิจได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น
3 เคล็ดลับสำหรับการใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียใน SEO
-
การแชร์คอนเทนต์ลงใน LinkedIn สามารถทำให้ผู้คนที่ใช้งานเว็บไซต์ LinkedIn เกิดการมีส่วนร่วมต่างๆ และยังสามารถอัปเดตข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับธุรกิจของคุณด้วย
-
ใช้โซเชียลมีเดียในการแชร์เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ ยิ่งแชร์ออกไปเยอะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสพัฒนา SEO ได้
-
อย่าลืมสร้างปุ่มแชร์คอนเทนต์จากเว็บไซต์ของคุณไปสู่โซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพราะจะเป็นการช่วยได้ดีมาก
วิดีโอออนไลน์
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวิดีโอออนไลน์เป็นสื่อที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในเวลานี้ฃอ้างอิงจากข้อมูลโดยเว็บ Cisco วิดีโอออนไลน์ยึดครองพื้นที่กว่า 82% จากการใช้งานอินเตอร์เน็ตทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น 82% ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการคอนเทนต์วิดีโอทั่วทั้งโลก
แม้ปัจจุบันจะมีคอนเทนต์วิดีโอมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมหาศาล แต่ทางเว็บไซต์ Hubspot ก็ยังระบุเอาไว้ว่า กว่า 43% ของผู้ใช้งานต้องการให้มีคอนเทนต์วิดีโอมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นหากคอนเทนต์วิดีโอไม่ได้อยู่ในแผนการตลาดของคุณ นั่นหมายความว่าคุณพลาดสิ่งสำคัญไป
ถ้าอย่างนั้นเราจะใช้วิดีโอสนุบสนุน SEO อย่างไรดี?
ตัวอย่างวิดีโอที่ดี
หลายคนคงจะเคยเห็นฟังก์ชั่น Video Featured Snippets ในผลการค้นหาในกูเกิ้ลมาแล้ว (Video Featured Snippets คือวิดีโอที่แสดงที่ตำแหน่งบนสุดของหน้าการค้นหาของ Google) และนี่ก็คือ 3 ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้วิดีโอของคุณ ขึ้นไปติดอยู่บนผลการค้นหาอันดับแรกสุด
1. แบ่งวิดีโอของคุณเป็นส่วนๆอย่างชัดเจน
ไม่ง่ายเลยที่จะทำแบบนี้ แต่การที่แบ่งคอนเทนต์เป็นสัดส่วน จะช่วยให้กูเกิ้ลเข้าใจเนื้อหาในวิดีโอง่ายขึ้น ซึ่งนั่นจะช่วยให้กูเกิ้ลเลือกส่วนต่าง ๆ ในวิดีโอของคุณขึ้นมาอยู่ในผลการค้นหาอันดับแรกสุดได้ง่ายขึ้น
2. จัดการวิดีโอของคุณให้เหมาะสมกับ SEO
กูเกิ้ลจะใช้หัวข้อ คำอธิบาย และแท็กในการจำแนกว่าวิดีโอนี้เกี่ยวกับอะไร ดังนั้นนอกจากการเผยแพร่วิดีโอที่มีการแบ่งส่วนของเนื้อหาอย่างชัดเจนแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำคือการปรับหัวข้อให้มีคีย์เวิร์ด SEO อยู่นั่นเอง
3. ใส่คำบรรยายภาพในวิดีโอให้เรียบร้อย
ถึงแม้ว่าระบบทำซับไตเติ้ลอัตโนมัติของ YouTube จะสมบูรณ์มากแล้ว แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเพื่อทำให้ YouTube และ Google เข้าใจทุกคำในวิดีโอ คุณควรใส่คำบรรยายในวิดีโอให้เรียบร้อย
ทำให้ช่อง YouTube ของคุณโตขึ้น
ปัจจุบัน YouTube ขึ้นเป็นช่องทางการค้นหาอันดับที่ 2 ของโลก รองจาก Google และยังคงเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นหากต้องการให้มีการเข้าถึงมากยิ่งขึ้นในปี 2022 การจัดการวิดีโอให้เหมาะสมกับ YouTube ก็เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
ข่าวดีคือ แม้ว่า YouTube จะเป็นโปรแกรมค้นหาที่ดีมาก แต่นักการตลาดส่วนมากก็ไม่ได้ขยันพอที่จะทำวิดีโอของตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำให้มีคนเห็นวิดีโอของคุณ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าช่องของคุณมีวิดีโออยู่ 45 วิดีโอ และ 45 วิดีโอนี้มียอดวิวรวมกันอยู่ที่ 189k วิวต่อเดือน นั่นหมายความว่าผู้ชมจำนวนนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์และกลายเป็นลูกค้าได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อเราปรับวิดีโอของเราให้เหมาะสมกับ SEO แล้ว นั่นหมายความว่าเราจะได้ครองพื้นที่บนผลการค้นหาของกูเกิ้ลมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะ 55% ของผลการค้นหาใน Google จะมีวิดีโอปรากฎขึ้นอย่างน้อย 1 วิดีโอเสมอจุดประสงค์ในการค้นหา (Search Intent)
ความตั้งใจหลักในการค้นหา เป็นหัวข้อสำคัญในโลก SEO ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คอนเทนต์ที่ไม่ตรงตามความตั้งใจหลักที่ผู้ใช้อยากค้นหา จะไม่ถูกจัดให้ติดอันดับ กูเกิ้ลตั้งใจที่จะมอบผลการค้นหาที่ตรงตามความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งาน เพราะฉะนั้นการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงตามความต้องการที่ผู้ใช้งานค้นหาจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำในการทำ SEO ปี 2022
ระบุความตั้งใจของคำหลักแต่ละคำ
ทุกคีย์เวิร์ดล้วนแล้วแต่มีความต้องการที่แท้จริงซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นต้องการตามหาบางสิ่ง ต้องการซื้อบางอย่าง หรือต้องการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ A และ B ซึ่งถ้าคอนเทนต์ของคุณตรงกับความต้องการหลักที่ผู้ค้นหาอยากได้ คอนเทนต์นั้นก็จะติดอันดับได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นอันดับแรก ต้องหาความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมายให้เจอก่อน
คีย์เวิร์ดส่วนมาก เมื่อนำไปเสิร์ชบน Google ก็มักจะปรากฎเนื้อหาที่แสดงความต้องการที่แท้จริงของผู้เสิร์ชหาคีย์เวิร์ดนี้อยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ดคำว่า “เวย์โปรตีน” คนที่ค้นหาคำนี้ส่วนหนึ่งต้องการซื้อโปรตีน หรือบางส่วนก็ต้องการหาเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งเมื่ออ้างอิงจากหน้าแรกของผลการค้นหา สิ่งที่ทำให้รู้เกี่ยวกับคีย์เวิร์ดนี้คือ คนส่วนใหญ่ที่ค้นหาคำว่าเวย์โปรตีนกำลังมองหาและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่
สร้างเนื้อหาที่ตรงกับความตั้งใจในการค้นหาแบบ 1:1
เมื่อคุณรู้ความต้องการหลักของเป้าหมายแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องทำคอนเทนต์ให้ตรงตามสิ่งที่เป้าหมายต้องการอย่างแม่นยำที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรารีเสิร์ชคีย์เวิร์ดคำว่า “จะเพิ่มยอดผู้ติดตามบนยูทูปได้อย่างไร” เรียบร้อยแล้ว ได้ข้อมูลมาว่า คอนเทนต์ส่วนใหญ่เป็นคอนเทนต์แบบแบ่งเป็นข้อ ๆ
เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำคอนเทนต์แบบการสอนแบบอธิบายยาว ๆ แต่จะทำเป็นแบบแบ่งเป็นข้อ ๆ แทน และเมื่อคอนเทนต์ของเราเป็นคอนเทนต์แบบที่เป้าหมายต้องการแล้ว คอนเทนต์ก็จะติดอันดับได้ไม่ยาก
ปรับเนื้อหาเก่าให้เหมาะสมอีกครั้งสำหรับจุดประสงค์ในการค้นหา
การปรับเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการหลักไม่จำกัดว่าต้องทำกับเนื้อหาใหม่เท่านั้น คุณสามารถเอาคอนเทนต์เก่ามาปัดฝุ่นใหม่ ปรับให้มันตรงกับความต้องการหลักของเป้าหมายมากขึ้นเพื่อพัฒนา SEO บนหน้าเว็บของคุณให้ดีขึ้น หรือเพื่อให้ผู้ชม/ผู้อ่านได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น
ถ้าเรารู้ว่ากลุ่มเป้าหมายชอบข้อมูลที่เป็นหัวข้อย่อยลงมา มากกว่าบทความยาว ๆ เราก็สามารถกลับไปปรับตอนเทนต์เก่า ๆ ของเราให้เป็นแบบหัวข้อย่อยได้ต่อสู้กับการลดลงของ CTR
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในตอนนี้ อัตราการคลิกผ่าน (CTR) แบบออแกนิกนั้นลดลงกว่าเมื่อก่อนมาก มีธุรกิจหนึ่งพบว่า CTR ออแกนิกจากการค้นทาทางโทรศัพท์มือถือลดลงถึง 41.4% จากปี 2015 เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ เพราะ Google รวบรวมผลการค้นหาแบบออแกนิกด้วยฟีเจอร์ SERP เช่น กล่องตอบคำถาม, โฆษณา, โฆษณารูปแบบ Carousel, FAQs และ อื่น ๆ คุณจึงต้องทำจุดที่ต้องการการคลิก ให้ดูน่าคลิกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขียนคำอธิบาย META สำหรับทุกหน้า
คุณควรเขียนคำอธิบาย META ที่ไม่ซ้ำกับใครในหน้าเว็บทุก ๆ หน้า มันจะช่วยให้คนที่พบเห็นคลิกเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ของคุณ โดยการเขียนคำอธิบาย META เป็นวิธีง่าย ๆ ที่สามารถช่วยเพิ่ม CTR ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้ถึง 6%
เคล็ดลับ SEO อัพเดตสำหรับปี 2022
ในพาร์ทนี้ เราอยากนำเสนอเคล็ดลับ ในการทำ SEO ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันทีซึ่ งจะใช้ได้ผลดีในปี 2022 นี้อย่างแน่นอน
เผยแพร่ “เนื้อหาการวิจัย”
พวกนักเขียน และบล็อกเกอร์ ชอบข้อมูลที่เป็นสถิติ ถ้าคุณสามารถเรียกความสนใจของพวกเขาด้วย สถิติจากการศึกษา เนื้อหาจากงานวิจัย หรือการเก็บรวมรวมข้อมูลจากแหล่งน่าเชื่อถือต่าง ๆ โดยการนำมาใส่ไว้ในคอนเทนต์ของคุณได้ พวกนักเขียนบทความก็สามารถจะสร้างลิงก์มาที่หน้าเว็บของคุณ (นำไปอ้างอิง) ถึงแม้การทำวิจัย หรือศึกษาเรื่องต่างๆจะยาก และใช้เวลานาน แต่ผลที่ได้รับกลับมาก็คุ้มค่า
สร้างคอนเทนต์รูปภาพ (โดยเฉพาะ “ภาพแนวคิด”)
เช่นเดียวกับ คอนเทนต์วิดีโอ ตอนนี้คอนเทนต์รูปภาพก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการสำรวจ พบว่านักการตลาด 87.5% ใช้คอนเทนต์รูปภาพเป็นส่วนมากในการทำการตลาด ซึ่งดูจากสถิติการใช้งานคอนเทนต์รูปภาพของนักการตลาด รวมไปถึงโซเชียลมีเดียอย่าง Pinterest และ Instagram คอนเทนต์รูปภาพน่าจะถูกใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้นคุณควรใช้เนื้อหาที่เป็นรูปภาพในคอนเทนต์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะ “ภาพแนวคิด” ซึ่งเป็นรูปประเภทที่นำไปใช้บนหน้าเว็บอื่น ๆ ต่อได้ง่าย เพื่อให้ผู้ที่นำไปใช้ลิงก์ภาพกลับมาที่หน้าเว็บของคุณ
เผยแพร่ Content Hub
Content hub คือ กลุ่มคอนเทนต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับหัวข้อเดียวกัน แต่แทนที่จะใส่ลิงก์ไขว้กันไปมา คุณสามารถรวมทางเข้าลิงก์ที่เกี่ยวกับเรื่องเดียวกันไว้ในหน้าเดียวกันทั้งหมดได้ ใน 1 Hub การใช้ Content Hub เป็นวิธีที่ง่าย และยังไม่ได้มีคนใช้กันแพร่หลายมากนัก ทำให้เมื่อคุณได้นำวิธีนี้ไปใช้ จะทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นขึ้นมาได้
FAQs
SEO ใช้เวลาแค่ไหน
การทำ SEO คือกลยุทธ์ระยะยาว ที่จำเป็นต้องค่อยๆทำโดยใช้องค์ประกอบมากมาย ทั้งการทำ On-Page และ Off-page SEO บางคนก็เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่นการเปลี่ยน Meta Title และ Heading หรือการมีคอนเทนต์ที่ตรงตามหลัก SEO หลาย ๆ คอนเทนต์ ก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นการเปลื่ยนแปลงได้เร็ว แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ และการแข่งขันของ Keyword ด้วย
จะติดอันดับ 1 ใน Google ได้อย่างไร
ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าต้องทำอย่างไรให้เว็บไซต์ติดอันดับแรก เพราะ มีองค์ประกอบมากมายที่ต้องทำประสานรวมกัน เพื่อให้ Google ยอมรับว่าเป็นเว็บไซต์ที่ดี แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดคือ การใช้ Keyword คำค้นหาให้ถูกต้อง การลงคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ และปรับเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับแนวทางในการทำ SEO ให้มากที่สุด
ตัวอย่างบางส่วนของ SEO?
กลยุทธ์ SEO คือ การนำข้อมูลทางสถิติมาใช้ในการเลือกคีย์เวิร์ด การเขียนคอนเทนต์ และการใช้เทคนิคต่างๆมาเพื่อทำให้เว็บไซต์ของเรา เป็นเว็บไซต์คุณภาพ ซึ่งการทำ SEO ที่ดี ประกอบด้วย:
-
ใช้คีย์เวิร์ดในการเขียนคอนเทนต์
-
ปรับองค์ประกอบของคอนเทนต์ในเว็บเพจให้เป็นไปตามหลักการ SEO
-
ใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการเพิ่มความเร็วในการดาวน์โหลดหน้าเว็บไซต์
-
และอื่นๆ
จะเรียนรู้ SEO ได้อย่างไร
มีวิธีมากมายในการเรียนรู้เรื่องการทำ SEO ถ้าคุณตัดสินใจจะทำ SEO เองในองค์กรจริง ๆ สามารถลงคอร์สการทำ SEO กับสถาบันที่ได้รับการรับรอง รวมทั้งสถาบันของ Google เองได้ แต่บางองค์กรที่ต้องการทำ SEO แต่ไม่มีความพร้อมมากพอ ก็สามารถจ้างเอเจนซี่เพื่อลดระยะเวลา และแรงงานในการทำ SEO ลงได้
บทสรุป
ถ้าคุณรู้สึกว่าข้อมูลเกี่ยวกับ SEO มีเยอะมากจนรับไม่ไหว อย่าเพิ่งเครียดไป ! ค่อย ๆ ศึกษาและลองนำไปใช้งานดูทีละข้อ ไม่นานก็จะคุ้นเคยและเก่งขึ้นได้ไม่ยาก แต่ถ้ารู้สึกว่าต้องการวิธีที่สะดวกรวดเร็วกว่าการศึกษาและลงมือทำเอง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่รับจ้างทำ SEO คือคำตอบที่ดีเช่นกัน